AMNESTY

เราคือขบวนการของคนธรรมดามากกว่า

10 ล้าน คนทั่วโลก

ที่ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรมสำหรับทุกคน

AMNESTY

เราคือขบวนการของคนธรรมดามากกว่า

10 ล้าน คนทั่วโลก

ที่ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรมสำหรับทุกคน

AMNESTY

เราคือขบวนการของคนธรรมดามากกว่า

10 ล้าน คนทั่วโลก

ที่ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรมสำหรับทุกคน

menu

AMNESTY

เราคือขบวนการของคนธรรมดามากกว่า

10 ล้าน คนทั่วโลก

ที่ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรมสำหรับทุกคน

AMNESTY

เราคือขบวนการของคนธรรมดามากกว่า

10 ล้าน คนทั่วโลก

ที่ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรมสำหรับทุกคน

AMNESTY

เราคือขบวนการของคนธรรมดามากกว่า

10 ล้าน คนทั่วโลก

ที่ร่วมกันสร้างความเปลี่ยนแปลงด้านสิทธิมนุษยชน เพื่อสังคมที่เท่าเทียมและยุติธรรมสำหรับทุกคน

แบ่งปัน

สิทธิชนเผ่าพื้นเมือง

ทั่วโลกมีชนเผ่าพื้นเมืองจำนวน 476 ล้านคนใน 90 ประเทศ (คิดเป็น 6% ของประชากรโลก) และแม้สิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองจะได้รับการรับรอง และให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อย ๆ แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หลายคนยังมองไม่เห็นพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของสังคม และเป็นความจริงที่ว่า ชนเผ่าพื้นเมืองกลับถูกทิ้งไว้ข้างหลังและต้องเผชิญกับความทุกข์ทรมานจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ความเสื่อมโทรมของสิ่งแวดล้อม ความยากจนขั้นรุนแรง ความลำบากในการเข้าถึงการศึกษาและระบบสาธารณสุข และการละเมิดสิทธิมนุษยชนในวงกว้าง

ชนเผ่าพื้นเมืองคือใคร?

ชนพื้นเมืองอาศัยอยู่ในทุกทวีปตั้งแต่แถบอาร์กติกไปจนถึงมหาสมุทรแปซิฟิก เอเชีย แอฟริกา และอเมริกา โดยกฎหมายระหว่างประเทศรวมไปถึงปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (United nation Declaration on the rights of indigenous peoples – UNDRIP) ไม่ได้กำหนดคำนิยามของ “ชนเผ่าพื้นเมือง (indigenous peoples)” เนื่องจากเป็นเจตนาของผู้ร่าง โดยการนิยามชนเผ่าพื้นเมืองควรเป็นสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในการระบุตัวตนด้วยตนเอง (right of self-identification) และเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง (right to self-determination) ชนเผ่าพื้นเมือง จะต้องระบุตนเองว่าเป็นชนเผ่าพื้นเมืองและได้รับการรับรองและยอมรับโดยชุมชนว่าเป็นสมาชิกคนหนึ่ง  พวกเขาอาศัยอยู่ในพื้นที่ทางภูมิศาสตร์และมีความเชื่อมโยงทางประวัติศาสตร์กับสังคมก่อนที่จะมีการรุกราน การล่าอาณานิคมหรือมีการสถาปนาเขตแดนของรัฐชาติในปัจจุบัน โดยชนเผ่าพื้นเมืองมีสถาบันและระบบสังคม เศรษฐกิจการเมือง วัฒนธรรม ภาษาและความเชื่อที่แตกต่างจากภาคส่วนอื่น ๆ ของสังคมเป็นของตนเอง และมีความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นกับดินแดนและทรัพยากรธรรมชาติโดยรอบ พวกเขามีความมุ่งมั่นที่จะส่งต่อแผ่นดินที่บรรพบุรุษอาศัย และสืบทอดอัตลักษณ์ของตน รวมไปถึงแบบแผนวัฒนธรรม สถาบันทางสังคมและระบบกฎหมายให้กับคนรุ่นต่อไป

ทำไมสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองจึงสำคัญ?

ความเท่าเทียมและการไม่เลือกปฏิบัติ (Equality and non-discrimination)

การไม่เลือกปฏิบัติและความเท่าเทียมเป็นองค์ประกอบพื้นฐานของกฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศในการเข้าถึงและใช้สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรม โดยปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (UNDRIP) ได้ระบุไว้ในข้อ 2 ว่า ประชาชนและปัจเจกบุคคลที่เป็นชนเผ่าพื้นเมือง มีเสรีภาพเท่าเทียมกับบุคคลอื่น และมีสิทธิที่จะเป็นอิสระจากการถูกเลือกปฏิบัติทุกรูปแบบในการใช้สิทธิของตน หลักความเท่าเทียมและไม่เลือกปฏิบัตินี้ยังรวมไปถึงสิทธิของชนเผ่าพื้นเมืองในที่ดินและทรัพยากร และการเป็นเจ้าของทรัพย์สินได้อย่างเท่าเทียมกับบุคคลอื่น ๆ ที่ไม่ใช่ชนเผ่าพื้นเมืองด้วย 

สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเอง (Right to self-determination)

ทุกคนมีสิทธิในการกำหนดสถานะทางการเมืองของตนได้อย่างเสรี รวมทั้งดำเนินการอย่างเสรีในการพัฒนาเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมของตน ซึ่งสิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองถูกระบุในข้อ 3 ของปฏิญญาสหประชาชาติว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง และมาตรา 1 แห่งกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง  

สิทธิในการกำหนดเจตจำนงของตนเองมีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับสิทธิทางการเมืองของชนเผ่าพื้นเมือง ซึ่งรวมถึงสิทธิในการเข้าร่วมการตัดสินใจเรื่องต่าง ๆ ซึ่งอาจมีผลกระทบต่อสิทธิของพวกเขาโดยผ่านผู้แทนที่พวกเขาเลือกขึ้นมาตามกระบวนการของตนเอง และมีสิทธิในการธํารงรักษาและพัฒนาสถาบันที่ทําหน้าที่ตัดสินใจของตนเองได้  

ความยินยอมที่ได้รับการบอกแจ้ง รับรู้ล่วงหน้าและเป็นอิสระ (Free, Prior and Informed Consent)

เป็นอิสระ (Free) หมายถึง การให้ความยินยอมของชนเผ่าพื้นเมืองจะต้องไม่ได้มาจากการถูกบังคับ ข่มขู่ หรือครอบงำ

ล่วงหน้า (Prior) หมายถึง การขอความยินยอมล่วงหน้าอย่างเพียงพอ ก่อนการอนุญาตหรือเริ่มกิจกรรมใด ๆ รวมถึงกระบวนการฉันทานุมัติและการปรึกษาหารือกับชนเผ่าพื้นเมือง 

การบอกแจ้ง รับรู้ (Informed) หมายถึง การให้ข้อมูลที่ครอบคลุมรอบด้านแก่ชนเผ่าพื้นเมืองที่เกี่ยวข้อง เช่น ลักษณะ ขนาด และขอบเขตของโครงการหรือกิจกรรมที่เสนอ วัตถุประสงค์ของโครงการ ระยะเวลา ท้องถิ่นหรือพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบ การประเมินเบื้องต้นของแนวโน้มผลกระทบทางเศรษฐกิจ สังคม วัฒนธรรม และสิ่งแวดล้อม รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้น บุคลากรที่จะมีส่วนร่วมในการดำเนินโครงการ และกระบวนการขั้นตอนของโครงการ

การปรึกษาหารือกับชนเผ่าพื้นเมืองและการมีส่วนร่วมของชนเผ่าพื้นเมืองจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญในกระบวนการได้รับความยินยอมนี้ โดยรัฐต้องปรึกษาหารือกับชนเผ่าพื้นเมืองที่เกี่ยวข้องในการได้รับความยินยอม ก่อนที่จะบังคับใช้กฎหมายหรือนโยบายใด ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชนเผ่าพื้นเมือง (ข้อ 19) และการอนุมัติโครงการใด ๆ ที่มีผลกระทบต่อที่ดิน เขตแดนและทรัพยากร รวมถึงการพัฒนา การใช้ประโยชน์และการสำรวจแร่ธาตุ น้ำหรือทรัพยากรอื่น ๆ (ข้อ 32)

รัฐจะต้องไม่บังคับโยกย้ายหรืออพยพชนเผ่าพื้นเมืองออกจากที่ดินและเขตแดนของพวกเขา และไม่จัดเก็บหรือทิ้งวัตถุอันตรายในที่ดินหรือเขตแดนของชนเผ่าพื้นเมือง โดยปราศจากความยินยอมที่ได้รับการบอกแจ้ง รับรู้ล่วงหน้าและเป็นอิสระ (ข้อ 10 และข้อ 29)

นอกจากนี้ ชนเผ่าพื้นเมืองมีสิทธิที่จะได้รับการเยียวยา รวมถึงการได้คืนทรัพย์สิน หรือการขดเชยที่ยุติธรรม ถูกต้องและเท่าเทียมสำหรับที่ดิน เขตแดนและทรัพยากรซึ่งพวกเขาเคยเป็นเจ้าของหรือเคยครอบครอง หรือเคยใช้ประโยชน์ตามประเพณี และที่ถูกยึด ถูกเอาไป ถูกใช้หรือถูกทำลายโดยปราศจากความยินยอมที่ได้รับการบอกแจ้ง รับรู้ล่วงหน้าและเป็นอิสระ (ข้อ 28) และมีสิทธิในการได้รับการเยียวยาซึ่งรวมถึงการคืนทรัพย์สินทางปัญญา ภูมิปัญญา ศาสนา จิตวิญญาณที่ถูกพรากไปโดยปราศจากความยินยอมที่ได้รับการบอกแจ้ง รับรู้ล่วงหน้าและเป็นอิสระของชนเผ่าพื้นเมือง  (ข้อ 11)

สิทธิในที่ดิน เขตแดนและทรัพยากร (Rights to lands, territories and resources)

ตั้งแต่อดีต ชนเผ่าพื้นเมืองมีความเชื่อมโยงอย่างแน่นแฟ้นกับดินแดนและทรัพยากรโดยรอบซึ่งเป็นพื้นฐานการดำรงชีวิต การยังชีพและการดำรงอยู่ของพวกเขาในฐานะชุมชน อย่างไรก็ตาม ชนเผ่าพื้นเมืองกลับต้องเผชิญกับปัญหาทางกฎหมาย มาตรการและการปฏิบัติอื่น ๆ ที่ทำให้พวกเขาสูญเสียที่ดิน เขตแดนและทรัพยากรธรรมชาติที่พวกเขาเป็นเจ้าของหรือใช้ประโยชน์ตามประเพณีมาอย่างช้านาน

สิทธิชนเผ่าพื้นเมืองในที่ดิน เขตแดนและทรัพยากร มีดังนี้

นอกจากนี้ ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองยังกล่าวถึงการไม่จัดเก็บหรือทิ้งวัตถุอัตรายในที่ดินหรือเขตแดน ของชนเผ่าพื้นเมือง (มาตรา 29) และการจำกัดไม่ให้มีกิจกรรมทางทหารเกิดขึ้นในที่ดินหรือเขตแดนของชนเผ่าพื้นเมืองอีกด้วย (มาตรา 30) 

สิทธิทางวัฒนธรรม (Cultural rights)

วัฒนธรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชนเผ่าพื้นเมืองถือเป็นส่วนหนึ่งในอัตลักษณ์ของชนเผ่าพื้นเมือง หลายครั้งที่ชนเผ่าพื้นเมืองต้องเผชิญกับการกลืนกลายทางวัฒนธรรม (cultural assimilation) หรือนโยบายที่ส่งเสริมการกลืนวัฒนธรรมและภาษาของพวกเขาให้เป็นส่วนหนึ่งของชนหมู่มาก ซึ่งเป็นการคุกคามอย่างรุนแรงต่อการดำรงอยู่ทางวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมืองอย่างต่อเนื่อง 

ปฏิญญาว่าด้วยสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองได้ให้การคุ้มครองสิทธิในวัฒนธรรมของชนเผ่าพื้นเมือง ดังนี้

สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง 

สิทธิในการพัฒนาการแพทย์พื้นบ้านและการดูแลสุขภาพ 

ช่องทางเข้าถึงสารสนเทศและการพัฒนาสื่อ

ภาคส่วนพิเศษ

กลไกระหว่างประเทศ 

ในปัจจุบันได้มีกฎหมายและกลไกระหว่างประเทศในการคุ้มครองและดูแลเรื่องสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง ได้แก่

กลไกระดับภูมิภาค

คณะกรรมาธิการแอฟริกาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและประชาชน (African Commission on Human and Peoples’ Rights)

คณะกรรมาธิการแอฟริกาว่าด้วยสิทธิมนุษยชนและประชาชนมีหน้าที่ทบทวนรายงานของรัฐ และปฏิบัติภารกิจเพื่อตอบสนองต่อการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างกว้างขวางและร้ายแรง และให้การเยียวยา

องค์การนานารัฐอเมริกัน (The Organization of American States – OAS)

องค์การนานารัฐอเมริกัน ซึ่งเป็นองค์การระหว่างรัฐบาลระดับภูมิภาค ประกอบไปด้วย 35 ประเทศในอเมริกา ได้บังคับใช้ปฏิญญาอเมริกันว่าด้วยสิทธิของชนเผ่าพื้นเมือง (American Declaration on the Rights of Indigenous Peoples) เพื่อให้ความคุ้มครองเฉพาะสำหรับชนเผ่าพื้นเมืองในอเมริกาเหนือ เม็กซิโก อเมริกากลางและใต้ และแคริบเบียน นอกจากนี้ยังมีองค์การระดับภูมิภาคอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เช่น

คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนระหว่างอเมริกัน (Inter-American Commission on Human Rights)  

  ศาลสิทธิมนุษยชนระหว่างอเมริกัน (Inter-American Court of Human Rights)

สภายุโรป (Council of Europe and European) และ ศาลสิทธิมนุษยชนยุโรป (Court of Human Rights)

แม้สภายุโรปไม่มีมาตรฐานหรือกลไกเฉพาะสำหรับชนเผ่าพื้นเมือง แต่อนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐาน (the Convention for the Protection of Human Rights and Fundamental Freedoms) ได้กำหนดหลักสิทธิมนุษยชนที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย ได้แก่ หลักการไม่เลือกปฏิบัติ สิทธิในชีวิตส่วนตัวและครอบครัว และศาลยุโรปได้พัฒนาหลักกฎหมายบางประการที่เกี่ยวกับสิทธิชนเผ่าพื้นเมือง นอกจากนี้ การตรวจสอบตามกลไกอนุสัญญากรอบการทำงานว่าด้วยการคุ้มครองชนกลุ่มน้อยแห่งชาติ (Framework Convention for the Protection of National Minorities) และ  กฎบัตรยุโรปว่าด้วยภาษาประจำภูมิภาคหรือภาษาชนกลุ่มน้อย  (European Charter for Regional or Minority Languages) ยังได้ระบุข้อกังวลเกี่ยวกับสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองจากการเดินทางไปเก็บข้อมูลในประเทศต่างๆ อีกด้วย 

รัฐมีหน้าที่อะไร?

เคารพ

ปกป้อง

เติมเต็ม

สถานการณ์สิทธิชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย 

กฎหมายที่เกี่ยวข้อง 

สถานการณ์ปัจจุบัน

ในขณะที่มีการผลักดันร่างพระราชบัญญัติเกี่ยวกับสิทธิชนเผ่าพื้นเมืองในประเทศไทย ในปัจจุบันมีเหตุการณ์ในประเทศไทยที่สิทธิมนุษยชนของชนเผ่าพื้นเมืองถูกละเมิด เช่น