สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง เป็นสิทธิ 2 ชุดที่แตกต่างกัน แต่มีความสัมพันธ์กัน
สิทธิพลเมือง (Civil Rights) คือสิทธิที่ปกป้องบูรณการภาพทางร่างกายและจิตใจของบุคคล ได้แก่ สิทธิในการมีชีวิตรอด สิทธิที่จะไม่ตกเป็นทาส ไม่ถูกทรมาน สิทธิที่จะได้รับการพิจารณาคดีอย่างเป็นธรรม สิทธิความเป็นส่วนตัว, เสรีภาพในการเดินทาง, สิทธิที่จะลี้ภัย, สิทธิที่จะมีสัญชาติ, เสรีภาพในการแต่งงาน, สิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน, เสรีภาพในการนับถือศาสนา เป็นต้น
สิทธิทางการเมือง (Political Rights) หมายถึง สิทธิที่ประกันให้บุคคลสามารถมีส่วนร่วมในชีวิตทางพลเมืองและชีวิตทางการเมืองของสังคมและรัฐ เช่น สิทธิในการมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศ สิทธิในการเลือกตั้งอย่างเสรีและเป็นธรรม สิทธิในเสรีภาพการแสดงออกและการชุมนุมโดยสงบ ปราศจากอาวุธ สิทธิในเสรีภาพความคิด มโนธรรมและศาสนา เป็นต้น
สิทธิพลเมืองและสิทธิมนุษยชน แตกต่างหรือเหมือนกันอย่างไร
เราได้รับสิทธิพลเมืองจากการเป็นพลเมืองของประเทศหรือรัฐใดรัฐหนึ่ง สิทธิพลเมืองมีไว้เพื่อปกป้องพลเมืองจากการเลือกปฏิบัติและเพื่อให้พวกเขามีเสรีภาพบางอย่างในประเทศนั้น สิทธิพลเมืองในแง่นี้จึงถือได้ว่าเป็นข้อตกลงระหว่างรัฐและพลเมืองที่อยู่ภายใต้การปกครองของแต่ละรัฐ ซึ่งรัฐรับประกันสิทธิพลเมืองโดยกำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายภายในประเทศ พลเมืองในประเทศใดจะมีสิทธิพลเมืองใดบ้าง ขึ้นอยู่กับบริบทของแต่ละรัฐว่าจะให้สิทธิพลเมืองใดกับพลเมืองในปกครองของรัฐนั้นบ้าง ในขณะที่สิทธิมนุษยชนนั้นมีความเป็นสากลและเป็นของมนุษย์ทุกคนไม่ว่าจะอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศใดก็ตาม เมื่อรัฐบัญญัติหรือกำหนดให้มีการบังคับใช้สิทธิมนุษยชนในกฎหมายภายในประเทศ สิทธิมนุษยชนบางประการก็จะกลายเป็นสิทธิพลเมือง เช่น ในระดับสากล สิทธิในเสรีภาพในการแต่งงานเป็นสิทธิมนุษยชนที่ถูกบัญญัติไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แต่ในแง่สิทธิพลเมือง เสรีภาพในการแต่งงานอาจขึ้นอยู่กับเงื่อนไขทางกฎหมายภายของแต่ละประเทศที่แตกต่างกัน อย่างไรก็ตาม ทั้งสิทธิมนุษยชนและสิทธิพลเมือง ต่างมีเป้าประสงค์ในการปกป้องพลเมืองจากการเลือกปฏิบัติ ความอยุติธรรมและความไม่เท่าเทียม
กฎหมายสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศ
สิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองถูกระบุไว้ในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration of Human Rights – UDHR) ในข้อ 3 – 17 (สิทธิทางพลเมือง) และในข้อ 18 – 21 (สิทธิทางการเมือง) นอกจากนี้ ยังมีการรับรองและบังคับใช้กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (International Covenant on Civil and Political Rights – ICCPR) ซึ่งเป็นสนธิสัญญาพหุภาคีที่มีผลผูกพันทางกฎหมายกับรัฐที่เข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญา ซึ่งประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น โดยรัฐภาคีจะต้องปฏิบัติตามพันธกรณีของสนธิสัญญานี้อีกด้วย สิทธิและเสรีภาพที่ถูกระบุไว้อย่างชัดเจนในกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง และไม่มีอยู่ปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน ได้แก่ สิทธิของชนกลุ่มน้อย (มาตรา 27) สิทธิที่จะไม่ถูกจำคุกเนื่องจากไม่สามารถชำระหนี้ได้ (มาตรา 11) สิทธิของเด็กทุกคนในการได้รับสัญชาติ (มาตรา 24 (3)) สิทธิของผู้ถูกคุมขังที่จะได้รับการปฏิบัติอย่างมีมนุษยธรรม (มาตรา 10 (1)) และมาตรการพิเศษในการคุ้มครองชนกลุ่มน้อย ในขณะที่สิทธิที่ถูกกล่าวถึงในปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชน แต่ไม่มีในกติการะหว่างประเทศฉบับนี้ ได้แก่ สิทธิในการขอลี้ภัย (ข้อ 14) และสิทธิในการครอบครองทรัพย์สิน (ข้อ 17)
สิทธิที่ไม่อาจระงับชั่วคราวได้/ สิทธิที่ไม่อาจลดทอนได้ (Non-derogable rights)
กติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองมีลักษณะเฉพาะคือ มีการกำหนดบทบัญญัติที่เกี่ยวกับมาตรการการเลี่ยงพันธกรณีเพื่ออนุญาตให้รัฐสามารถเลี่ยงพันธกรณีของตนภายใต้กติกานี้ได้เพียงเท่าที่จำเป็นในภาวะฉุกเฉินสาธารณะซึ่งคุกคามต่อความอยู่รอดของชาติ (มาตรา 4) ซึ่งหมายความว่า สิทธิและเสรีภาพบางประการอาจถูกระงับได้เมื่อประเทศตกอยู่ในภาวะฉุกเฉินดังกล่าว อย่างไรก็ตาม กติการะหว่างประเทศนี้ยังได้กำหนดสิทธิที่ไม่อาจระงับชั่วคราวได้/ สิทธิที่ไม่อาจลดทอนได้ ในมาตรา 4(2) หรือ สิทธิที่รัฐไม่อาจเลี่ยงพันธกรณี ในการเคารพหรือคุ้มครอง แม้รัฐจะประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน (State of Emergency) หรือสภาวะยกเว้น (State of Exception) ได้แก่
การบังคับบุคคลให้สูญหาย
คณะทำงานด้านการบังคับสูญหายโดยไม่สมัครใจขององค์การสหประชาชาติ (The United Nations Working Group on Enforced or Involuntary Disappearances) ได้บันทึกกรณีการบังคับบุคคลให้สูญหายในประเทศไทยมากถึง 82 คดี ระหว่าง พ.ศ. 2523 ถึง พ.ศ. 2558 ซึ่งรวมไปถึงกรณีของ พอละจี รักจงเจริญ (บิลลี่) นักปกป้องสิทธิมนุษยชนชาวกะเหรี่ยง เด่น คำแหล้ นักปกป้องสิทธิที่ดินทำกินของชุมชน และสมชาย นีละไพจิตร ทนายความสิทธิมนุษยชน นอกจากนี้ ยังมีนักกิจกรรมไทยอีกอย่างน้อย 8 คนซึ่งเคยลี้ภัยอยู่ในประเทศเพื่อนบ้านและถูกอุ้มหายหรือทำให้สูญหายในระหว่างปี 2559-2562
ในเดือนมิถุนายน 2563 นายวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ นักกิจกรรมชาวไทยซึ่งลี้ภัยอยู่ในประเทศกัมพูชาถูกลักพาตัวโดยบุคคลไม่ทราบฝ่าย อย่างไรก็ตาม ทางการไทยไม่ได้ประกาศว่าจะดำเนินการร่วมกับรัฐบาลกัมพูขาเพื่อค้นหาตัวเขาในทันที
ประเทศไทยลงนามในอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองบุคคลทุกคนจากการบังคับให้หายสาบสูญ (International Convention for the Protection of all Persons from Enforced disappearance – CED) ในปี 2555 แต่ยังไม่ได้ให้สัตยาบันต่ออนุสัญญาดังกล่าว อนุสัญญานี้จึงยังไม่มีผลบังคับใช้กับประเทศไทย ปัจจุบันประเทศไทยยังไม่มีความผิดฐานบังคับให้สูญหายโดยตรง แต่มีการผลักดันให้บรรจุความผิดฐานบังคับบุคคลให้สูญหายกับการกระทำทรมานไว้ใน (ร่าง) พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ….
การทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้าย
ในปี 2561 ผู้ลี้ภัยทางการเมืองที่ลี้ภัยในประเทศลาว 3 คน ได้แก่ สุรชัย แซ่ด่าน ไกรเดช ลือเลิศ และชัชชาญ บุปผาวัลย์ หายตัวไปจากที่พัก และถูกพบศพริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งสภาพศพนั้นแสดงให้เห็นว่าทั้งสามถูกฆ่าอย่างโหดเหี้ยม
ในเดือนมีนาคม ปี 2563 แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลได้เผยแพร่รายงาน “เราก็เป็นแค่ของเล่นเขา” การละเมิดทางร่างกาย จิตใจ และทางเพศต่อทหารเกณฑ์ในกองทัพไทย ซึ่งเป็นรายงานที่ตีแผ่แบบแผนการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อทหารเกณฑ์โดยผู้บังคับบัญชา
นอกจากนี้ ยังมีรายงานเกี่ยวกับการทรมานและการปฏิบัติที่โหดร้ายต่อผู้ต้องสงสัยในคดีความมั่นคงและผู้ต้องสงสัยว่าก่อความไม่สงบในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่มีการประกาศใช้กฎอัยการศึกและพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน
ประเทศไทยให้สัตยาบันรับรองอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นๆ ที่โหดร้าย ไร้มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี (the Convention against Torture and Other Cruel, Inhuman or Degrading Treatment or Punishment – CAT) ไว้เมื่อปี 2550 อย่างไรก็ตาม (ร่าง) พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการทรมานและการกระทำให้บุคคลสูญหาย พ.ศ…. ยังคงอยู่ในกระบวนการการพิาจารณาของรัฐสภา
สิทธิในเสรีภาพการแสดงออก และการชุมนุมโดยสงบ
รัฐบาลไทยได้ประกาศใช้พระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน (พ.ร.ก.ฉุกเฉิน) เพื่อควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ตั้งแต่วันที่ 26 มีนาคม 2563 และมีการประกาศขยายระยะเวลาสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 17 ซึ่งปัจจุบัน มีระยะเวลาถึงวันที่ 31 พ.ค.. 2565 อย่างไรก็ตาม รัฐบาลได้บังคับใช้กฎหมายอย่างเข้มงวด และใช้อำนาจอย่างกว้างขวางตามพ.ร.ก.ฉุกเฉินในการจำกัดสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก และการชุมนุมโดยสงบ โดยมีผู้ถูกดำเนินคดีข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน ทั้งคดีในระหว่างการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในพื้นที่กรุงเทพมหานคร และคดีฝ่าฝืนข้อกำหนดเกี่ยวกับสถานการณ์โควิด-19 นับตั้งแต่ปี 2563 จนถึงปัจจุบันมากกว่า 1400 คน และมีผู้ถูกดำเนินคดีข้อหาตามพระราชบัญญัติการชุมนุมสาธารณะอีกอย่างน้อย 100 คน
ในปี 2563 ถึง 2564 ตำรวจได้มีการใช้กำลังเกินกว่าเหตุในการสลายการชุมนุมโดยสงบหลายครั้ง โดยมีการฉีดน้ำแรงดันสูงผสมสารเคมีที่ก่อความระคายเคือง ขว้างกระป๋องแก๊สน้ำตา และยิงกระสุนยางใส่ผู้ชุมนุม นอกจากนี้ นับตั้งแต่ปี 2563 มีผู้ถูกดำเนินคดีจากการแสดงออกและการชุมนุมทางการเมืองในข้อหาหมิ่นประมาทกษัตริย์ ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 มากกว่า 100 ราย บทลงโทษจำคุก 3- 15 ปี และการบังคับใช้มาตรา 112 ไม่สอดคล้องกับหลักสิทธิมนุษยชน เช่น กรณีของ อัญชัญ ปรีเลิศ นักโทษคดี ม.112 ถูกตัดสินจำคุกนานถึง 43 ปี 6 เดือน ซึ่งนับว่าเป็นคดีอัตราโทษสูงที่สุดเท่าที่มีการบันทึกมาหลังรัฐประหาร 2557
นอกจากนี้ ทางการไทยยังดำเนินคดีกับผู้วิจารณ์ความล้มเหลวของรัฐบาลในการรับมือกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 และผู้ที่แสดงความคิดเห็นทางการเมืองบนโลกออนไลน์ โดยพิจารณาการกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2560 นอกจากนี้ ทางการไทยยังมีการปิดกั้นสื่อ เช่นในเดือนสิงหาคมปี 2563 เฟซบุ๊กได้จำกัดการเข้าถึงกลุ่มรอยัลลิสต์มาร์เก็ตเพลสซึ่งเป็นกลุ่มวิพากษ์วิจารณ์สถาบันพระมหากษัตริย์ ตามคำขอของกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม และในเดือนตุลาคม 2563 กระทรวงดิจิทัลได้มีการขอคำสั่งศาลเพื่อปิดกั้นสำนักข่าวออนไลน์ 5 แห่ง ได้แก่ Voice TV, The Reporters, The Standard และประชาไท โดยศาลอาญาพิจารณาและสั่งให้ยกคำร้องโดยยืนยันเสรีภาพสื่อตามรัฐธรรมนูญ