นักปกป้องสิทธิมนุษยชน (Human Rights Defenders)
การปราบปรามของรัฐต่อบุคคลที่แสดงความคิดเห็น บุคคลที่ตั้งคำถาม บุคคลที่ทำงานและเคลื่อนไหวในประเด็นสิทธิมนุษยชน การจำกัดสิทธิมนุษยชนโดยพลการ การฟ้องร้องดำเนินคดีโดยใช้ข้อหาทางอาญาต่อผู้ที่วิพากษ์วิจารณ์การดำเนินงานของรัฐบาลอย่างเปิดเผย การคุกคามโดยเจ้าหน้าที่เพื่อกดดันไม่ให้กลุ่มบุคคลกล้าออกมาวิพากษ์วิจารณ์หรือข้องเกี่ยวกับการรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชน ซึ่งเราเรียกกลุ่มคนเหล่านี้ว่า “นักปกป้องสิทธิมนุษยชน หรือ Human Rights Defenders”
แล้วนักปกป้องสิทธิมนุษยชนคือใคร?: ตามคำนิยามขององค์การสหประชาชาติ หรือ United Nation (UN) ระบุว่านักปกป้องสิทธิมนุษยชนคือคนที่ทำงานหรือเคลื่อนไหวในลักษณะต่อไปนี้[1]
ทั้งนี้ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจะเป็นใครก็ได้ ตั้งแต่นักข่าว ทนายความ อาจารย์ นักกิจกรรม ผู้นำชุมชน นักเรียน นักศึกษา ไปจนถึงชาวไร่ชาวนาและคนธรรมดาทั่วไปที่กล้าลุกขึ้นมาทำและต่อสู้เพื่อส่วนรวม พวกเขาเหล่านี้คือฟันเฟืองสำคัญของทุกสังคมที่ช่วยให้สังคมเข้มแข็งและเท่าเทียมกันมากขึ้น
แต่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนกลับถูกปิดกั้นเสรีภาพ และการทำงานของพวกเขาหลายครั้งจำเป็นต้องเผชิญหน้ากับผู้ที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนหรือทำให้ผู้มีอำนาจจากการกดขี่ประชาชนเสียผลประโยชน์ นักปกป้องสิทธิมนุษยชนจึงข่มขู่ คุกคามอย่างหนักจากทั้งภาครัฐและเอกชนที่เสียผลประโยชน์ ถูกทำร้ายร่างกาย ฟ้องร้องดำเนินคดี กักขังหน่วงเหนี่ยว ไปจนถึงถูกทรมาน บังคับให้สูญหายหรือแม้กระทั่งถูกสังหาร นอกจากนี้ กลุ่มผู้เสียผลประโยชน์ต่างๆ ทั้งภาครัฐและเอกชนใน หลายประเทศยังสอดแนมการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างใกล้ชิด ไปจนถึงการปล่อยข่าวเท็จ (Fake news) เพื่อพยายามทำลายชื่อเสียงและความน่าเชื่อถือของพวกเขาด้วย
เมื่อวันที่ 9 ธันวาคม 2541 ฉันทามติสมัชชาใหญ่แห่งสหประชาชาติได้รับรองปฏิญญาว่าด้วยสิทธิและความรับผิดชอบของปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคลและองค์กรของสังคมในการส่งเสริมและคุ้มครองสิทธิมนุษยชน และเสรีภาพขั้นพื้นฐานซึ่งเป็นที่ยอมรับอย่างสากล (Declaration on the Right and Responsibility of Individuals, Groups and Organs of Society to Promote and Protect Universally Recognized Human Rights and Fundamental Freedoms) หรือที่เรียกกันว่าปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน (Universal Declaration on Human Rights Defenders) ซึ่งปฏิญญาฉบับนี้เกิดจากการรวบรวมและสะท้อนความคิดด้านกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวข้องกับการสนับสนุน คุ้มครองและปกป้องนักปกป้องสิทธิมนุษยชน[2]
สมัชชาใหญ่สหประชาชาติยอมรับบทาทของความร่วมมือระหว่างประเทศ ผลงานที่มีคุณค่าของปัจเจกบุคคล กลุ่มบุคคลและสมาคมทั้งหลายที่ส่งผลให้เกิดการขจัดการละเมิดสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานทั้งปวงของประชาชาติและปัจเจกบุคคล รวมถึงการละเมิดอย่างเป็นระบบที่รุนแรงและกว้างขวาง อีกทั้งยังย้ำว่าสมาชิกของประชาคมระหว่างประเทศทั้งปวงต้องดำเนินการโดยร่วมกันและแยกกันในการปฏิบัติตามพันธกรณีอย่างจริงจังเพื่อส่งเสริมและกระตุ้นให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานสำหรับทุกคนโดยปราศจากการแบ่งแยกทั้งปวง ที่มีพื้นฐานจากเชื้อชาติ สีผิว เพศ ภาษา ศาสนา ความคิดเห็นทางการเมืองหรืออื่นๆ ต้นกำเนิดแห่งชาติและสังคม ทรัพย์สิน สถานะการเกิดหรืออื่นใด และยืนยันถึงความสำคัญอย่างยิ่งในการให้เกิดความร่วมมือระหว่างประเทศ เพื่อให้เกิดการปฏิบัติตามพันธกรณีตามกฎบัตรให้เป็นจริง[3]
ปฏิญญาฉบับนี้ได้ระบุถึงสิทธิและความคุ้มครองที่นักปกป้องสิทธิมนุษยชนพึงมี เช่น การก่อตั้งสมาคมและองค์กรภาคประชาสังคมต่างๆ[4] การพบปะหารือและชุมนุมอย่างสงบ และแสวงหา จัดหา รับข้อมูลและรักษาไว้ซึ่งข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับหลักสิทธิมนุษยชน[5] วิพากษ์วิจารณ์และจัดทำข้อเสนอให้แก่ผู้มีอำนาจเพื่อปรับปรุงการทำงานและเฝ้าเตือนภัยคุกคามต่อหลักสิทธิมนุษยชน[6] และได้รับการคุ้มครองภายใต้กฎหมายเมื่อยืนหยัดคัดค้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างสงบ[7] เป็นต้น
ปฏิญญาฉบับนี้ยังได้ระบุถึงหน้าที่ของรัฐในการคุ้มครอง สนับสนุนและดำเนินการด้านสิทธิมนุษยชนทั้งมวล ประกันว่าบุคคลที่อยู่ในเขตอำนาจของรัฐจะได้ใช้ชีวิตตามหลักสิทธิมนุษยชนและเสรีภาพขั้นพื้นฐานอย่างเต็มที่ทุกประการ[8] จัดหามาตรการเยียวยาที่มีประสิทธิผลสำหรับบุคคลที่ตกเป็นเหยื่อของการละเมิดสิทธิมนุษยชน[9] รวมถึงเสริมสร้างความเข้าใจเรื่องสิทธิพลเมือง สิทธิทางการเมือง สิทธิทางเศรษฐกิจ สังคมและวัฒนธรรมให้แก่สาธารณะ[10] และหน้าที่อื่นๆ ที่รัฐควรดำเนินการเพื่อพัฒนาด้านสิทธิมนุษยชนตามที่บัญญัติไว้ในปฏิญญาฉบับนี้[11] อีกทั้งบุคคลและประชาชนเองก็มีหน้าที่ในการส่งเสริมหลักสิทธิมนุษยชน ปกป้องประชาธิปไตยและสถาบันทางประชาธิปไตยต่างๆ และไม่ละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้อื่น[12] ซึ่งระบุไว้ในปฏิญญาฉบับนี้เช่นเดียวกัน
อย่างไรก็ตาม เจ้าหน้าที่รัฐ ผู้มีอำนาจหรือผู้ที่เสียผลประโยชน์จากการเคลื่อนไหวหรือการทำงานของนักปกป้องสิทธิมนุษยชนก็ยังคงข่มขู่ คุกคามนักปกป้องสิทธิมนุษยชนอย่างต่อเนื่อง ตัวอย่างการคุกคามในประเทศไทยที่ผู้มีอำนาจหรือ ผู้ที่เสียผลประโยชน์มักใช้คือรูปแบบที่เราเรียกว่า การฟ้องปิดปาก หรือการดำเนินคดีเชิงยุทธศาสตร์เพื่อปิดกั้นการมีส่วนร่วมสาธารณะ (Strategic Lawsuit Against Public Participation – SLAPP) ซึ่งก็คือการฟ้องคดีเพื่อปิดปากบุคคลที่ออกมาแสดงความคิดเห็น วิพากษ์วิจารณ์หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน หรือการออกมามีส่วนร่วมในกิจกรรมสาธารณะของประชาชนหรือชุมชน[13] การฟ้องปิดปากมักจะเป็นคดีที่ไม่มีมูลเหตุ ถูกออกแบบมาให้มีความซับซ้อน กินระยะเวลายาวนาน และเสียค่าใช้จ่ายราคาแพงสำหรับผู้ที่เกี่ยวข้อง ดังนั้น หากจำเลยไม่มีฐานะทางการเงินเพียงพอที่จะสู้คดีของตน พวกเขาก็ไม่มีทางเลือกและจำต้องยอมรับข้อเรียกร้องของโจทก์ ซึ่งมักจะมาในรูปของ การชดใช้ค่าเสียหาย การขอโทษ หรือการลบข้อความที่ถือว่าละเมิด[14]
ในประเทศไทย ปราฏการณ์การฟ้องร้องดำเนินคดีในลักษณะ SLAPPs เริ่มเกิดขึ้นหลังรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2540 มีผลใช้บังคับ แต่เพิ่มมากขึ้นภายหลังปี 2556 ส่วนใหญ่พบในคดีที่เกี่ยวพันกับการปกป้องสิทธิมนุษยชน โดยเฉพาะสิทธิแรงงานและการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม โดยบริษัทหรือกลุ่มทุนมักเป็นโจทก์ในการฟ้องคดีนักวิจัย นักเคลื่อนไหว หรือแม้แต่ผู้ที่ได้รับความเสียหายจากการดำเนินงานของบริษัท ตกเป็นจำเลยในความผิดฐานบุกรุกหรือฐานหมิ่นประมาทจากการเผยแพร่รูปภาพหรือข้อความอันอาจจะก่อให้เกิดความเสียหายหรือเสียชื่อเสียง หลังจากการรัฐประหารในช่วงกลางปี 2557 เป็นต้นมา คณะรักษาความสงบแห่งชาติ หรือ คสช. ได้ออกประกาศและคำสั่งหลายฉบับซึ่งถูกใช้เป็นเครื่องมือในการดำเนินคดีกับบุคคลหรือกลุ่มบุคคลซึ่งจัดกิจกรรมทางการเมือง หรือผู้ที่แสดงความคิดเห็นต่อต้าน คสช.[15]
ในปี 2562 รายงานการวิจัยเรื่อง “รายงานข้อเสนอแนะต่อการคุ้มครองผู้ใช้สิทธิและเสรีภาพเพื่อการมีส่วนร่วมในประเด็นสาธารณะจากการถูกฟ้องคดี” จากสมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน ได้เผยให้เห็นจำนวนคดีการฟ้องปิดปากที่เพิ่มสูงขึ้นในไทย เป็นแนวโน้มที่น่ากังวลเพราะไม่ใช่แค่ความพยายามปิดปากเฉพาะประชาชนที่ถูกฟ้องร้องเท่านั้น แต่ยังเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการพูดที่ขยายวงกว้างไปทั่วโลก สถานการณ์ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ หลังจากการรัฐประหารในปี 2557 เนื่องจากกองทัพสร้างและใช้กฎหมายเพื่อปกป้องกลุ่มผู้มีอำนาจและกดขี่กลุ่มผู้ที่อ่อนแอ รวมถึงให้ความสำคัญกับผลประโยชน์ของบรรษัทและรัฐบาลมากกว่าประโยชน์สาธารณะ
ตามที่ระบุในรายงานวิจัย “พบว่าร้อยละ 95 ของคดีฟ้องปิดปากในประเทศไทย เป็นคดีอาญา และผู้ที่เป็นจำเลยส่วนใหญ่ คือ ประชาชนทั่วไป นักเคลื่อนไหวทางการเมืองและอาสาสมัคร (39%) ผู้แทนชุมชนและแรงงาน (23%) นักปกป้องสิทธิมนุษยชน (16%) และนักข่าว (9%) และกิจกรรมหลักที่เป็นสาเหตุสำคัญของการฟ้องร้องคือการแสดงความเห็นออนไลน์ (25%)”[16]
การดำเนินคดีเหล่านี้คุกคามสาธารณชนให้เกิดความหวาดกลัวไม่ให้ส่งเสียงเรียกร้อง การดำเนินคดีปิดปากจึงมีผลกระทบในวงกว้างต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงออกในสังคมไทย ดังนั้น การยกเลิกความผิดในคดีหมิ่นประมาท (ในฐานะการฟ้องคดีเพื่อปิดปาก) จึงส่งผลดีต่อสาธารณะและช่วยเสริมสร้างอำนาจให้คนธรรมดาสามารถส่งเสียงแสดงออกในประเด็นที่มีความสำคัญได้
[1] https://www.amnesty.or.th/our-work/human-rights-defenders/ (เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565)
[2] https://www.ohchr.org/sites/default/files/Documents/Issues/Defenders/Declaration/summaries/thai.pdf (เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565)
[3] https://www.ohchr.org/sites/default/files/Documents/Issues/Defenders/Declaration/Thai_Declaration.pdf (เข้มถึงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565)
[4] ข้อที่ 5 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน สามารถอ่านบทวิเคราะห์ร่างพระราชบัญญัติการดำเนินกิจกรรมขององค์กรไม่แสวงหากำไร พ.ศ…. (ร่างฯ เสนอคณะกรรมการกฤษฎีกา คณะที่ 2
เพื่อพิจารณาในวันจันทร์ที่ 13 ธันวาคม 2564)
[5] ข้อที่ 6 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
[6] ข้อที่ 8 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
[7] ข้อที่ 12 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
[8] ข้อที่ 2 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
[9] ข้อที่ 9 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
[10] ข้อที่ 14 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
[11] https://www.ohchr.org/sites/default/files/Documents/Issues/Defenders/Declaration/summaries/thai.pdf (เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565)
[12] ข้อที่ 10 แห่งปฏิญญาสากลว่าด้วยนักปกป้องสิทธิมนุษยชน
[13] https://ilaw.or.th/node/4824 (เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565)
[14] https://freedom.ilaw.or.th/blog/slappreport (เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565)
[15] https://tlhr2014.com/archives/5257 (เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565)
[16] https://www.tcijthai.com/news/2019/29/current/9614#google_vignette (เข้าถึงเมื่อวันที่ 3 พฤษภาคม 2565)